องค์การอนามัยโลกเผย ทวีปแอฟริกามีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึง 80% ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน จากการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา
สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นาง ฟีโอนาห์ อาตูเฮบเว เจ้าหน้าที่สำนักงานนำเข้าวัคซีนสำหรับภูมิภาคแอฟริกา ขององค์การอนามัยโลก เปิดเผยว่า ทวีปแอฟริกากำลังพบเห็นการเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“อัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้นทั่วแอฟริกา โดยอัตราการเสียชีวิตรายสัปดาห์ที่สูงที่สุดจนถึงตอนนี้ เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่เริ่มต้นด้วยวันที่ 19 ก.ค. (6,343 ศพ)” นางอาตูเฮบเวกล่าว “การเสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 89% จาก 13,242 ศพ เป็น 24,987 ศพ ในช่วง 28 วันที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบสถิติกับช่วง 28 วันก่อนหน้านั้น”
นางอาตูเฮบเวเผยอีกว่า ตอนนี้อย่างน้อย 15 ประเทศในทวีปแอฟริกา กำลังมีแนวโน้มการเสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น โดย แอฟริกาใต้เป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตในช่วง 28 วันที่ผ่านมามากที่สุด คิดเป็น 64% ตามด้วยแอฟริกาเหนือ ที่ 24%
ทั้งนี้ ดร.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก บอกในงานแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า การระบาดทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 กำลังเลวร้ายลงทั้งในแง่ของยอดผู้เสียชีวิต และอัตราการติดเชื้อ ผลักดันโดยการแพร่กระจายของไวรัสสายพันธุ์ เดลตา ที่มีความสามารถในการติดต่อสูงกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม โดยจนถึงตอนนี้มันถูกตรวจพบใน 132 ประเทศแล้ว และทำให้การติดเชื้อทั่วโลกพุ่งขึ้น 80% ภายใน 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ทวีปแอฟริกายังมีอัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำมาก โดยตอนนี้มีประชากรเพียง 1.5% จากกว่า 1 พันล้านคน ที่ได้รับวัคซีนครบกำหนด โดยโครงการฉีดวัคซีนของชาติแอฟริกาส่วนใหญ่ พึ่งพาการบริจาคจากโครงการ โคแวกซ์, จีน, อินเดีย และสหรัฐฯ ซึ่งการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าในแอฟริกาเป็นผลจากการขาดแคลนวัคซีน รวมทั้งความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีน โดยชาติร่ำรวยในตะวันตกจัดหาวัคซีนให้ตัวเองมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้.